โลกสีครามกับการพัฒนาที่ยั่งยืนของ หมิว พรพิมล มิ่งมิตรมี
November 28, 2023
![](/sites/g/files/zskgke326/files/2023-11/02_2.png)
หมิว-พรพิมล มิ่งมิตรมี เกิดและเติบโตที่หมู่บ้านหนองส่าน อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร ซึ่งเป็นแหล่งผลิตครามที่มีชื่อเสียง ชีวิตของหมิวจึงเปรียบเสมือนกับการเกิดและเติบโตในโลกสีคราม
หมิวโตมาในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยต้นคราม การผลิตคราม มัดย้อมผ้า เธอหลงใหลในสีธรรมชาติ รวมถึงแนวคิดวิทยาศาสตร์ เพราะกว่าจะได้ผ้าครามธรรมชาติสีสันสดใสของสกลนครมา ต้องอาศัยทั้งธรรมชาติ ศิลปะ และองค์ความรู้ด้านปฏิกิริยาเคมีในการสกัดครามออกมา
เพราะเหตุนั้น เมื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เธอจึงเลือกเรียนที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ในคณะวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็ไม่ใช่คณะวิทยาศาสตร์จ๋า ๆ อย่างที่ใครเข้าใจ แต่เป็นการเรียนวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์ศิลปกรรม ต้องใช้ความรู้องค์รวมทั้งหมด ทั้งทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และการใช้สีธรรมชาติที่ได้จากพืช สีแร่ สีดิน สีหิน ต้องใช้การเข้าใจประวัติศาสตร์เพื่อการอนุรักษ์และบูรณะศิลปะในวัดวาอาราม โบราณสถานต่าง ๆ
จากความหลงใหลในสีธรรมชาติ บวกกับองค์ความรู้จากบ้านเกิดที่ทำคราม และจากการเรียนมหาวิทยาลัย หมิวเลือกที่จะต่อยอดองค์ความรู้ไปอีกขั้นด้วยการเลือกไปเรียนต่อที่อินเดีย
“ไปเรียนที่อินเดีย เราจะเรียนกับช่างที่เขาทำเรื่องสีโดยเฉพาะเลย ไปเรียนวิธีการเคี่ยวสี เตรียมสี เพื่อที่สำหรับพิมพ์ผ้า ทำเป็นแบบที่เรียกว่า Block Print” หมิวอธิบาย
เมื่อเรียนจบหมิวก็ตัดสินใจกลับบ้านเกิดที่หมู่บ้านหนองส่าน อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร เพื่อทำงานกับชุมชน อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้มาพร้อมกับความฝันสวยหรูในเรื่องการพัฒนาชุมชน แต่เธอมาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
“เราไม่ได้คิดว่าเราจะไปช่วยชีวิตใคร ไม่เคยมีความคิดว่าจะเสียสละเงินเดือนเป็นแสนเพื่อกลับมาพัฒนาหมู่บ้าน ครั้งแรกที่กลับบ้านคือเอาตัวเองให้รอด เพราะถ้าเกิดเราเอาตัวเองไม่รอด เราจะไม่มีหน้าไปบอกใครเลยว่า ให้กลับมาบ้านสิ มาทำสิ่งนี้สิ ถ้าเรายังไม่มีรายได้ เราอยู่ไม่ได้จริง ๆ” เธออธิบาย
“ครั้งแรกมันเลยเกิดขึ้นเพราะเราจะพิสูจน์ตัวเองว่าเราจะอยู่บ้านที่ต่างจังหวัด อยู่ในอำเภอเล็ก ๆ ให้ได้ โดยมีรายได้ที่เยอะกว่าอยู่กรุงเทพฯ เราเอาตัวรอดได้แล้ว เราจึงสามารถทำให้คนรอบข้างในชุมชนเขามีรายได้เพิ่มขึ้นได้
“ถ้าคนเราท้องไม่อิ่ม ไม่ต้องไปนึกเลยว่าชีวิตเขาจะมองเรื่องการแก้ปัญหา การพัฒนา Sustainability (ความยั่งยืน) แก้ไขขยะหรืออะไรก็ตามแต่ มันจะไม่เกิด เขาจะมองไม่เห็น”
การกลับบ้านในครั้งนี้สิ่งแรกที่หมิวสนใจจึงเป็นการพยายามหาศักยภาพและช่องว่างของชุมชนว่าเธอจะสามารถพัฒนาต่อยอดอะไรได้บ้าง
![](/sites/g/files/zskgke326/files/2023-11/03_1.png)
“เราสนใจว่าถ้ากลับไปอยู่บ้าน แล้วเราจะทำงานอะไรยังไงได้บ้าง หลังจากที่เราอยู่บ้าน เราก็เห็นว่างานผ้าในหมู่บ้านมีการเติบโตเยอะมาก มันมี Demand และ Supply ในหมู่บ้านสูงมากอยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันมีขยะที่มันเกิดจากเส้นใยอยู่เยอะมาก
จากการสังเกตว่าในหมู่บ้านเต็มไปด้วยเศษผ้าสีคราม และจากเศษผ้าเหลือทิ้งซึ่งเหลือจากการทำเสื้อผ้าย้อมคราม หมิวก็คิดว่าจะทำอย่างไรกับเศษผ้าจำนวนมากเหล่านี้ดี เธอจึงคิดไอเดียขึ้นในมาได้
“ในตอนที่ไปเรียนที่อินเดีย มันมีหมู่บ้านที่เขาทำกระดาษอยู่ใกล้ ๆ หมู่บ้านที่เราเคยอยู่ เราเคยไปดูเขาทำครั้งนึง ที่นั่นเขาก็ใช้ผ้าเส้นใยฝ้ายรีไซเคิล ซึ่งมาจากโรงงานอุตสาหกรรมเส้นใยเหมือนกัน ก็เลยคิดขึ้นมาว่าถ้าบ้านเราเอาเศษผ้ามาทำกระดาษวาดรูปในคุณภาพเดียวกันกับที่อินเดียทำได้ก็คงจะดี เพราะว่ากระดาษที่อินเดีย ผิวสัมผัสมันจะเป็นกระดาษใยฝ้าย ซึ่งเป็นกระดาษวาดรูปสีน้ำเกรดอาร์ติสที่ดีที่สุดในโลก ถ้าเราเอาเศษผ้าที่บ้านมาทำเป็นกระดาษเหมือนกัน มันคงมีมูลค่าเพิ่มได้”
จากนั้นการเดินทางกลับไปอินเดียอีกครั้งเพื่อเรียนทำกระดาษจึงเกิดขึ้น
ประสบการณ์จากอินเดียทำให้เธอพบว่า เครื่องไม้เครื่องมือในการปั่นเส้นใยเพื่อทำกระดาษในหมู่บ้านไม่ได้สมบูรณ์พร้อมมากนัก เธอจึงต้องปรึกษากับกลุ่มคนหลาย ๆ ฝ่าย เพื่อพัฒนาการทำกระดาษ
“เราไปถามอาจารย์มหาลัยมาบ้างว่าจะย่อยฝ้ายยังไง เพราะมันต่างกันตรงที่ผ้าของอินเดียเขาบางแล้วเขาทอโรงงาน เส้นใยมันก็จะเล็กกว่า แต่ผ้าบ้านเราเป็นผ้าขึงมือ ดึงเส้นด้วยมือ และทอมือ มันจะหนาและมีผิวสัมผัสที่เรียบไม่เท่าของอินเดีย พอไปหาอาจารย์ก็เลยได้รู้ว่าต้องใช้จุลินทรีย์ในท่อน้ำทิ้ง เพื่อให้ไปย่อยเส้นผม ย่อยฝ้าย และได้วิธีการมาทำกระดาษแบบที่เป็นธรรมชาติอย่างที่เราต้องการมา”
นอกจากนี้เธอยังได้มีโอกาสไปรู้จักกับเจ้าของโรงงานเส้นใยผ้าเจ้าหนึ่ง ซึ่งเธอได้ปรึกษาเขาว่า ถ้าส่งผ้าเก่าเราไปรีไซเคิลให้เป็นเส้นใยใหม่ จะสามารถทำได้ไหม ทางโรงงานก็ตอบมาว่าทำได้ ทั้งยังใช้เชื้อเพลิงและน้ำน้อยกว่าการผลิตเส้นใยใหม่เยอะมาก
โชคดีที่เจ้าของโรงงานเองก็มีความสนใจในเรื่องของการรีไซเคิลผ้าเก่าอยู่แล้ว จึงได้ร่วมมือกันทำเรื่องเส้นใยรีไซเคิลขึ้นมา จึงเกิดผลิตภัณฑ์เป็นกระดาษที่มาจากเศษผ้าในหมู่บ้านตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
การนำเศษผ้าเหลือใช้ซึ่งเมื่อก่อนคือเศษขยะจำนวนมหาศาลในหมู่บ้านมารีไซเคิล เป็นกระบวนการที่สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ 12 ที่สนับสนุนการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน ซึ่งสนใจกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการลดขยะ การนำสิ่งของมารีไซเคิลเพื่อใช้ใหม่
กระบวนการนี้ได้ถูกระบุเพิ่มเติมเอาไว้ในเป้าหมายที่ 12.8 อธิบายว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนสนับสนุนการลดการเกิดของเสียโดยให้มีการใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ให้มากที่สุด
หมิวบรรยายว่า “ในเดือนหนึ่งจะมีเศษผ้าครามในหมู่บ้านอยู่ที่ประมาณ 100 กิโลกรัม เป็นเศษผ้าเล็ก ๆ ที่คนจะนำไปทิ้ง และทำให้มูลค่าของเศษผ้าตรงนี้เป็นศูนย์และส่งผลกับสิ่งแวดล้อมด้วย แต่เมื่อเอามาปั่นเป็นกระดาษ เศษผ้าที่จะกลายเป็นขยะก็มีมูลค่าขึ้นมาได้ และยังช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วย”
“ถ้าเราเอามาปั่นเป็นกระดาษ เราสามารถทำให้มันมีมูลค่าขึ้นมาได้ อย่างกระดาษแค่ A4 กระดาษวาดรูป 20 แผ่น ก็ราคา 600-700 บาท อันนี้คือมูลค่าที่มันเกิดขึ้นจากเศษผ้า” เธอคำนวณให้เราฟัง
“เคยทดลองดู ถ้าเอาเศษผ้า 30 โลไปปั่นเป็นเส้นใย มี Waste (ขยะหรือเศษอื่น ๆ ที่เหลือจากการปั่นผ้า)น้อยมากเลยค่ะ มันได้กลับมาเกือบอีก 30 กว่าโล ซึ่ง สามารถทอผ้าได้ทั้งหมด 39 เมตร ซึ่ง 39 เมตรตัดเสื้อเพิ่มได้อีก ตัวละ 2 เมตร ตก 15 ตัว เท่ากับเสื้ออีก 15 ตัวที่มันไม่ได้ถูกทิ้ง”
![](/sites/g/files/zskgke326/files/2023-11/04_1.png)
นอกจากเศษผ้า หมิวยังรักในวิถีชีวิตของชุมชนตนเอง และเห็นศักยภาพในการพัฒนาชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตและการทำผ้ามัดย้อมครามให้กับคนนอกพื้นที่ที่สนใจ จึงได้ทำการท่องเที่ยวชุมชนบ้านหนองส่านขึ้น
“เราดึงศักยภาพหมู่บ้านของเราขึ้นมาสร้างสรรค์ให้มันเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวที่เน้นให้นักท่องเที่ยวมีประสบการณ์ร่วมกับคนในหมู่บ้าน มีการทำผ้า ย้อมผ้า เข้าป่า เก็บอาหารท้องถิ่นมาทำกับข้าว” หมิวอธิบายโมเดลการท่องเที่ยวชุมชนบ้านหนองส่าน
“หมิวลองสื่อสารกับคนภายนอกด้วยการใช้โซเชียลมีเดีย ว่าเราจะออกแบบการท่องเที่ยวแบบนี้ออกมา เพราะว่าเท่าที่เห็นส่วนใหญ่ก่อนหน้านี้จะเป็นผู้ประกอบการรายเดี่ยว เป็นโฮมสเตย์ เป็นแคมป์ปิ้ง แต่ว่าเราอยากให้มันเกิดขึ้นแบบมีชุมชนเข้ามาเกี่ยวข้อง มีคนเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันระหว่างคนพื้นถิ่นกับคนต่างถิ่น”
การพัฒนาท่องเที่ยวชุมชนยังเป็นการทำให้ศักยภาพของป้า ๆ แม่ ๆ ซึ่งเป็นคนตั้งแต่วัย 40 ถึง 50 ปีขึ้นไปในชุมชน ได้เฉิดฉายให้กับคนต่างถิ่นได้รับรู้และซึมซับร่วมกันว่า วิถีชีวิตเชิงเกษตรกรรมแบบคนหนองส่าน และภูมิปัญญาการทำครามซึ่งเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีค่านั้นมีกระบวนการอย่างไร
![](/sites/g/files/zskgke326/files/2023-11/05_1.png)
กลุ่มผู้หญิงในชุมชนเป็นกลุ่มหลักที่ขับเคลื่อนกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชน เพราะผู้ชายในชุมชนต้องใช้เวลาไปกับการทำงานแรงงานนอกบ้าน
การพัฒนาท่องเที่ยวชุมชนตามโมเดลนี้ยังเป็นการพัฒนาที่สอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ 5 นั่นคือการบรรลุความเสมอภาคระหว่างเพศ และเป้าหมายที่ 8 การส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง ครอบคลุม ยั่งยืน และการสนับสนุนการมีงานที่สมควรสำหรับทุกคน
การท่องเที่ยวชุมชน นอกจากสร้างความภูมิใจให้กับผู้หญิงในชุมชน และให้ความรู้กับบุคคลต่างถิ่นแล้ว ยังทำรายได้เข้าสู่ครัวเรือนของคนในชุมชนมากขึ้น เพราะส่วนมากคนในชุมชนเป็นเกษตรกรเกือบ 100% รายได้ต่อปีก็ขึ้นอยู่กับผลผลิตรายปี ซึ่งได้ประมาณปีละ 20,000-30,000 ต่อปี แต่พอมีการท่องเที่ยวชุมชนเข้ามา พวกเขาก็มีเงินในระหว่างปีเพิ่มขึ้น
“ปกติแล้ว ชาวบ้านจะต้องใช้เงินรายปีที่ขึ้นอยู่กับการเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตรในการจัดการค่าใช้จ่ายลูก ค่าใช้จ่ายในบ้าน ใช้หนี้ค่าปุ๋ย ไม่มีเงินรายย่อยเข้ามา ค่าใช้จ่ายทุกอย่างจะถูกจัดการด้วยเงิน 1 ก้อน แต่พอมีการท่องเที่ยวชุมชนเข้ามา เขาจะมีรายได้เป็นอาทิตย์บ้าง เดือนบ้าง พอซอยย่อยมากขึ้นก็ทำให้การจัดการรายได้ของเขาค่อนข้างเสถียรมากขึ้น และเป็นหนี้น้อยลง”
รายได้ที่เพิ่มมากขึ้นจากการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชนยังสอดคล้องกับการพัฒนาที่ยั่งยืนเป้าหมายที่ 1 ที่ส่งเสริมการยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่
—
แม้การกลับบ้านเกิดมาทำงานกับชุมชนของหมิวจะประสบความสำเร็จไปได้ดีในปัจจุบัน แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ ทุกอย่างไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ และมีอุปสรรคอยู่มากมาย
“อุปสรรคนี่มันแน่นอนอยู่แล้ว มีเยอะมาก หันกลับไปมองอีกทีมันกลายเป็นเรื่องตลกไปแล้ว แต่ตอนที่เจอจริง ๆ ก็เหนื่อยมาก” เธอย้ำ “อุปสรรคเป็นเรื่องของความต่างเจนฯ ที่มีความเชื่อและประสบการณ์ต่างกัน มองกันคนละเรื่อง”
แต่การกลับบ้านเกิดมาทำงานชุมชนมันไม่ใช่แค่การยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง หรือการเอาความปรารถนาดีของตัวเองลงมาโดยไม่แคร์ความคิดคนอื่น ๆ ในชุมชน
ถ้าหากมีอะไรแนะนำถึงคนที่อยากกลับบ้านเกิดแล้วลงมือพัฒนาชุมชนของตนเองได้สักอย่าง เธออยากแนะนำว่า “การมาทำงานกับชุมชนไม่ใช่ชีวิตในฝัน แต่เป็นงานที่เหนื่อย เพราะเราแบกความคิดของตัวเอง ความฝันของตัวเอง แล้วเรากำลังจะเอาความฝันอันนี้ไปให้คนอื่นถือด้วย ซึ่งเราไม่รู้ว่าคนที่เราไปทำงานกับเขาจะเห็นสิ่งเดียวกับเราด้วยหรือเปล่า”
“เพราะฉะนั้นหน้าที่เลยก็คือ จะทำยังไงให้ความเชื่อนี้ไปด้วยกันได้ โดยไม่ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง และมองว่าความเชื่อของชาวบ้านเป็นสิ่งที่ผิด ถ้าชาวบ้านเขาไม่ได้อินกับเรา เช่น ไม่ได้อินกับแพทเทิร์นผ้าที่เราออกแบบ มันก็ไม่ใช่ความผิดของเขา การเอาความคิดของเราไปยัดให้ชาวบ้าน บางทีมันก็เป็นการกระทำที่ไม่มี Empathy (ความเห็นอกเห็นใจ) กับคนอื่นเลย”
![](/sites/g/files/zskgke326/files/2023-11/06_1.png)
“การทำงานกับชุมชนเราต้องทำความเข้าใจกับตัวเองก่อน” หมิวแนะนำต่อ “สมมติเรามีเครื่องมืออะไรสักอย่างอยู่ในเป้ แล้วเราอยากจะทำงานสิ่งนี้ เราต้องดูด้วยว่าพาร์ทเนอร์ซึ่งก็คือคนในชุมชนของเรา เขามีอะไรในเป้ด้วยเหมือนกัน มันถึงจะเกี่ยวโยงไปด้วยกัน มันไม่ใช่ว่าจะไปโยนความคิดตู้ม ๆๆๆ ของเราให้เขารอรับฝ่ายเดียว”
“การทำงานกับชุมชนในแบบของเราคือ การที่เราต้องทำให้เขาเห็นก่อนว่าเราทำได้ จากนั้นก็มาแชร์ความคิดกัน โดยไม่คิดว่าใครต้องเป็นผู้ให้ ใครต้องเป็นผู้รับ ทุกคนแบ่งปันความคิดกัน และถ้าเราทำตามแพสชันตัวเองสำเร็จ และได้รับโอกาสจากการงานที่เราทำ เราก็สามารถแชร์โอกาสนั้นกับแม่ ๆ ป้า ๆ ในชุมชนได้ด้วย ให้เขามีรายได้ไปด้วยกัน”
ธุรกิจที่ยั่งยืนของหมิวก็คือธุรกิจที่คิดถึงคนรอบข้าง และเมื่อเป็นการทำงานกับชุมชน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการจับมือเดินไปพร้อม ๆ กับผู้คนหลายภาคส่วน ซึ่งตรงกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDGs เป้าหมายที่ 17 นั่นคือการเสริมความเข้มแข็งให้แก่กลไกการดำเนินงานและฟื้นฟูสภาพหุ้นส่วนความร่วมมือระดับโลกสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืน
เป้าหมายสุดท้ายนี้ถือเป็นเป้าหมายสำคัญ หากไม่มีข้อนี้ ข้ออื่นก็ไม่อาจสำเร็จลุล่วงไปได้เลย
เมื่อมาถึงคำถามที่ว่า ฝันเห็นโลกเป็นยังไง เธอก็ให้คำตอบอย่างเป็นตัวเองที่สุด
“คนทุกคนไม่ควรมองแค่ว่าตัวเองจะเข้ามาพัฒนาอะไร อย่าเห็นว่าตัวเองเป็น God (พระเจ้า) ที่จะมาตัดสินถูกผิดเกี่ยวกับการพัฒนา แต่ต้องรับฟังคนอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะคนในชุมชน
“โลกที่ดีสำหรับหมิว เอาแค่ทุกคนสามารถกินอิ่มนอนหลับ ท้องอิ่ม เดี๋ยวความงดงามอื่น ๆ มันจะมาเอง”